จดหมายคือไม้ตาย by เพจเขียนไว้ให้เธอ
จดหมายคือไม้ตาย
.
ใช่ครับ… ผมพูดถึงจดหมายที่เป็นกระดาษไม่ว่าจะเป็นเขียนลายมือหรือพิมพ์แล้วปริ๊นท์ออกมาแล้วใส่ซองปิดแสตมป์ส่งไปรษณีย์ที่ดูเหมือนจะไม่มีใครใช้อีกแล้วเพราะส่งไลน์หรืออีเมล์จะสะดวกและเร็วกว่ามาก แต่เพราะความที่ไม่มีใครใช้นี่แหละครับ จดหมายจึงกลายเป็นอาวุธสำคัญที่จะถึงตัวคนสำคัญระดับตัดสินใจได้ไม่ยาก
.
เมื่อวันก่อน ผมอยู่ในวงสนทนาเรื่องเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีนัก มีรุ่นน้องเล่าถึงผู้รับเหมาสร้างออฟฟิศคนหนึ่งที่ถูกบริษัทยักษ์ใหญ่ดึงเวลาจ่ายเงินไปอีกหกเดือน เงินก้อนนั้นเป็นเงินก้อนใหญ่มากสำหรับเขา ซึ่งทำให้เขาอาจถึงกับเจ๊งเพราะหมุนเงินไม่ทัน กลุ้มอกกลุ้มใจกินไม่ได้นอนไม่หลับ หาทางออกไม่เจอ ทวงถามทางบัญชีก็บอกเป็นนโยบายบริษัท รุ่นน้องที่ได้ฟังมาก็มาเล่าต่อด้วยความสงสาร
.
ผมเพิ่งได้ฟังผู้ใหญ่ระดับรองผู้ว่าฯ ในเรื่องสัพเพเหระทั่วไป มีคนถามถึงวิธีการติดต่อหน่วยงานราชการในเรื่องสำคัญที่ได้ผลที่สุด เขาบอกว่าวิธีที่ดีที่สุดที่เขาค้นพบหลังจากมาเป็นรองผู้ว่าฯ ได้ซักพักก็คือจดหมายนี่แหละครับ เพราะทุกเช้าจะมีจดหมายที่จ่าหน้าซองถึงเขามาวางไว้บนโต๊ะอย่างเรียบร้อย ก่อนทำอะไรก็จะเปิดอ่านจดหมายก่อนเสมอ วันหนึ่งก็มีไม่กี่ฉบับ เทียบกับอีเมล์ที่มีเป็นพัน หรือไลน์ที่อ่านไม่ทัน เขาเลยแอบบอกความลับว่าจดหมายนี่แหละทะลุทะลวงได้ดีนัก
.
ผมเองในสมัยก่อนก็ใช้วิธีนี้อยู่บ้างตั้งแต่อยู่ที่อเมริกา ในสมัยเรียนอยู่มีเรื่องร้องเรียนที่แมคโดนัลด์แถวมหาวิทยาลัย ไม่รู้จะทำอย่างไรเลยเขียนจดหมายจ่าหน้าถึงซีอีโอแมคโดนัลด์ ไม่กี่วันก็ได้จดหมายขอโทษพร้อมคูปองกินฟรีปึกใหญ่ ไม่รู้ว่าจดหมายนั้นไปถึงซีอีโอหรือไม่แต่อย่างน้อยก็คงถึงทีมงานเขาแน่ๆ พอเวลามาทำงานจริงๆโดยเฉพาะระยะหลังๆถึงได้รู้ประสิทธิภาพของจดหมายว่าเป็นอาวุธที่สุดยอดมากๆ ไม่ว่าตอนที่ผมทำงานที่บริษัทไหนหรือล่าสุดที่ธนาคาร นานๆทีจะมีจดหมายเขียนบ่นเขียนว่าไปทางซีอีโอซึ่งเขาก็เปิดอ่านเองทุกครั้งแล้วพอแทงเรื่องลงมา เรื่องนั้นก็ถูกพิจารณาเป็นพิเศษเสมอเพราะส่งตรงจากซีอีโอ มีอะไรที่หาทางออกไม่ได้เหมือนเรื่องถูกดึงไม่จ่ายเงินข้างต้น ผมก็จะมักบอกว่าให้ลองเขียนจดหมายหาซีอีโอใหญ่เลย ผมมั่นใจว่ามีโอกาสได้ผลสูงมาก ผมเองก็เช่นกัน นานๆก็มีจดหมายมาถึงที มาทีไรก็จะเปิดอ่านทุกครั้งด้วยความใคร่รู้
.
เหตุผลที่ผมคิดว่าจดหมายสมัยนี้มีผลสูงก็เพราะคนใช้น้อย อะไรที่นานๆมาทีก็จะดูมีความสำคัญโดยเฉพาะคนระดับซีอีโอที่ไม่ค่อยได้จดหมายอะไรแบบนี้ แถมเวลาจ่าหน้าซองถึงซีอีโอก็จะมีแต่คนรีบเอามาส่งหน้าห้อง ต่อให้เลขาเป็นคนเปิดก็จะต้องให้ซีอีโออ่าน ไม่กล้าซ่อนหรือดองอย่างแน่นอน นอกจากนั้น การที่ผู้บริหารระดับสูงได้อ่านก็เป็นการดึงความสนใจ ยิ่งคนระดับซีอีโอซึ่งปกติจะแคร์คู่ค้าหรือลูกค้าอยู่แล้ว ถ้าเป็นเรื่องไม่ใหญ่ก็อยากจะรีบปิดเคสแทบทุกคนที่ผมเคยเจอ
.
พลังทะลุทะลวงที่สำคัญที่สุดคือเมื่อซีอีโอแทงเรื่องลงมา ไม่ว่าจะเขียนว่า “โปรดพิจารณา” ให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องหรือบอกผ่านเลขาให้ส่งไปหน่วยงานที่ถูกอ้างถึง พอเห็นชื่อซีอีโอ ทุกคนก็จะดูเคสให้เป็นพิเศษ ด้วยความกลัวซีอีโอก็ส่วนหนึ่ง กลัวว่าถ้าไม่แก้จะถูกเขียนซ้ำแล้วอาจซวยได้ว่าทำไมไม่แก้ก็อีกส่วน หลายครั้งปัญหาก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆที่สะดุดอยู่ตามขั้นตอน หรือยกเว้นให้ได้โดยง่าย โอกาสที่จะทำให้อะไรที่ติดขัดอยู่ตรงไหนซักที่ได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรมก็มีมากกว่าการรอแบบลมๆแล้งๆอย่างแน่นอน
.
หัวใจสำคัญที่จะทำให้อาวุธนี้ได้ผลแบบสุดๆอีกเรื่องก็คือการเขียนข้อความในจดหมายที่ไม่ควรเกินหนึ่งหน้ากระดาษ เขียนให้ชัดเจน อ่านง่าย อ่านแค่ย่อหน้าแรกก็รู้ว่าเรื่องอะไร เขียนด้วยความสุภาพ ขอความเมตตา ไม่ด่าไม่ว่าใครทั้งสิ้น อธิบายเหตุผลที่เขียนมา คนระดับซีอีโอถ้าได้อ่านข้อความที่เป็นเหตุเป็นผลก็แทบจะไม่มีเหตุผลที่จะไม่ช่วย รวมถึงการส่งจดหมายก็ควรใส่ซองใหญ่หน่อย ลงทะเบียนและถ้าปั๊มตราลับเฉพาะได้ก็น่าจะยิ่งทำให้โอกาสที่จดหมายนั้นจะถูกวางบนโต๊ะซีอีโอแต่เช้าก็ยิ่งมากขึ้น
.
อาจจะมีคำถามว่า แล้วถ้าจดหมายไปไม่ถึงซีอีโอ หรือซีอีโออ่านแล้วทิ้งล่ะ ผมว่าถ้าเข้าตาจนขนาดนั้นแล้ว การลองเขียนจดหมายเสียเวลาไม่กี่นาทีกับค่าอากรแสตมป์ไม่กี่บาท แต่เพิ่มโอกาสอย่างมากในการรอดชีวิตนั้นคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม และพอได้ลองแล้ว ต่อให้ไม่สำเร็จก็จะไม่ค้างคาใจ “รู้งี้” กันอีกด้วย
นึกอะไรไม่ออก ลองส่งจดหมายเป็นไม้ตายสุดท้ายกันดูนะครับ…
.
.
เขียนโดย เพจเขียนไว้ให้เธอ
https://www.facebook.com/profile.php?id=100044623680446

ใส่ความเห็น